วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


อนุทินที่ 3 วิเคราะห์ข่าวการศึกษา


MATICHON ONLINE

ครูยังยันทำสิ่งที่ถูกต้อง เหตุคลิปนร.กราบขอขมาหน้าเสาธง
อ้างแพ้เต้าหู้ไข่ ทำโรงเรียนเสียหาย
วันที่: 1 ก.ย. 59 เวลา: 19:30 น.



เมื่อวันที่ 1 กันยายน ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนด้วยคลิปภาพที่ถูกแอบถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ เป็นภาพเหตุการณ์กรณีเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านลำหาด ต.ทัพทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นักเรียนมีอาการป่วยแล้วไปรักษาที่โรงพยาบาลสังขะ แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้อาหาร พอครูทราบเรื่องว่าเด็กมาพูดทำให้เขาเสียหาย
เกี่ยวกับอาหารกลางวัน จึงเรียกให้เด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวมากราบขอขมาบริเวณหน้าเสาธงต่อหน้านักเรียนหลายร้อยคนนั้น


ผู้สื่อข่าวได้รุดลงพื้นที่โรงเรียนบ้านลำหาด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จ โดยเข้าพบนายคงฤทธิ์ ไชย-แสนท้าว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านลำหาด และได้เรียกคุณครูที่ปรากฏภาพในคลิปมาชี้แจงข้อเท็จจริง ทราบต่อมาคือนางชื่นกมล จรดรัมย์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ และรับผิดชอบงานฝ่ายปกครอง

จากการสอบถาม ทราบว่าหลังเกิดเหตุ ได้มีการทำบันทึกข้อความ เรื่อง ขอความอนุเคราะห์สำรวจนักเรียนที่แพ้อาหาร แจ้งไปยังครูประจำชั้นอนุบาลปีที่ 1- มัธยมปีที่ ข้อความว่า  นางชื่นกมล จรดรัมย์ รับผิดชอบงานอนามัยนักเรียนโรงเรียนบ้านลำหาด และโครงการอาหารกลางวัน ได้เข้าประชุม ในวันที่ 31 ก.ค 59 กับนางสังวาลย์ สระแก้ว ตามหนังสือของสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ร่วมกับนักวิชาการจากโรงพยาบาลปราสาท และเจ้าหน้าที่โภชนาการของสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เรื่องการจัดทำอาหารให้เหมาะกับวัยและถูกโภชนาการ ได้ปรึกษาแม่ครัวเห็นว่าการให้นักเรียนรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองแทนเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพนักเรียนและยังเป็นการสนองนโยบายโรงเรียนวิถีพุทธ

ต่อมาในวันที่ 25 สิงหาคม เวลา 13.30 น.ได้รับแจ้งจากแม่ครัวจะมีการปรับเปลี่ยนรายการอาหาร เนื่องจากที่นักเรียนได้รับประทานให้ข้อมูลว่า นักเรียนมีอาการแพ้เต้าหู้ไข่ จากการตรวจสอบสมุดบันทึกการให้ยาของนักเรียนที่ผ่านมา ไม่มีนักเรียนมาขอใช้ยาที่เกิดจากอาการแพ้อาหาร แต่เด็กนักเรียน ชั้น ป.3 ที่เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่า ตนและเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนบ้านลำหาด รับประทานอาหารกลางวันเมนูแกงจืดเต้าหู้ ทุกคนไม่มีใครแพ้อาหาร มีเพียงพี่นักเรียนผู้หญิงแพ้อาหารเพียงคนเดียว เพราะไม่เคยรับประทาน

ด้านเด็กหญิง ก. (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ป.6 ที่แพ้แกงจืดเต้าหู้ กล่าวว่า ตนรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนด้วยแกงจืดเต้าหู้ ไม่ใส่เส้น พอรับประทานอาหารเสร็จก็ออกไปข้างนอกโรงอาหาร เพื่อซื้อน้ำดื่ม กลับมานั่งเล่นกับเพื่อนๆ พอเกือบเวลาบ่ายสอง เกือบๆ บ่ายสาม เริ่มมีอาการคันที่บริเวณ ท้อง และเริ่มขึ้นตุ่ม ออกมาเล่นวอลเลย์กับเพื่อน พอช่วงเย็น ตุ่มยิ่งแต่ขึ้น พอไปหาหมอก็ฉีดยาแก้แพ้หนึ่งเข็ม พร้อมจ่ายยาให้มารับประทานที่บ้าน หมอบอกว่า แพ้เต้าหู้ ตนอยากให้เรื่องนี้จบ แบบไม่ต้องทำอะไรแล้ว โดยไม่ต้องบอกว่าใครถูกใครผิดระหว่างครูกับนักเรียน

นางชื่นกมล กล่าวว่า อาหารกลางวัน ทางโรงเรียน เสริมเมนูเต้าหู้ไข่ ซึ่งเต้าหู้ไข่ก็แพง กับงบประมาณที่ทาง อบต.ทัพทันสนับสนุนให้เพียง 3,360 บาท จัดเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียน จำนวน 234 คน แล้วงบมาแค่ 173 คน แต่ต้องทำเลี้ยงทั้งโรงเรียน เต้าหู้ไข่หลอดละ 10 บาท ต้องมาเจียดงบกว่าจะได้มา

ส่วนภาพที่ปรากฏในคลิป นางชื่นกมลกล่าวว่าเป็นเรื่องแค่เด็กรับประทานเต้าหู้ไข่ ปรากฏว่า มีคุณครูคนหนึ่งมาบอกกับแม่ครัว ว่ามีเด็กรับประทานแล้วแพ้ แต่กลับไม่มีใครบอกว่าเด็กคนไหน เพื่อที่นำไปตรวจเลือด เพราะตนรู้ว่าถั่วลิสง ถ้าแพ้แล้วมันอันตราย โดยทำบันทึกให้ครูสำรวจมา ปรากฏว่าเด็กคนนี้จากการสืบปรากฏว่าป่วย ทางโรงเรียนเสียประกันเยอะได้สอบถามว่าเป็นจริงหรือไม่พร้อมเชิญผู้ปกครองมาว่าโรงเรียนจะขอทดสอบ คุณแม่ก็บอกอนุญาต คุณแม่ก็มานั่งดูด้วย โดยครูจะดู 24 ชม. ขออย่างเดียวถ้ามันไม่ใช่ ขอให้เด็กมากราบคุณครูได้มั๊ย เพราะมีการพูดให้โรงเรียนบ้านลำหาดเสียหาย ซึ่งแม่เด็กไปพูดที่โรงพยาบาลสังขะว่า ลูกเขากินอาหารกลางวันของโรงเรียนบ้านลำหาดทำให้ลูกเขาเป็น

ต่อมาหลังจากดูและพิสูจน์แล้วว่าเด็กไม่แพ้ ได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน และได้บอกครูทุกคนว่าเด็กไม่แพ้เต้าหู้ไข่ โดยสังเกตจาก มือ แขน และร่างกาย ปรากฏว่าไม่มีอาการแพ้ วันจันทร์ให้นักเรียนมากราบคุณครู เด็กก็เข้ามา ตนก็ยอมรับว่าเป็นคนที่พูดแรง พูดหนัก ตนเป็นคนที่มีเหตุมีผล เป็นครูวิทยาศาสตร์ เชื่อถือได้ ถ้าผู้ปกครองบอกว่า กินอันนั้นก็แพ้ กินอันนี้ก็แพ้  ทุกคำพูดต้องมีหลักฐาน และต้องพิสูจน์ได้ ถ้าไปเชื่อทุกคนเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านลำหาดก็ไม่ต้องกินอะไร เด็กนักเรียนผู้ชายที่เห็นในคลิปขึ้นมา เพราะน้องสาวเขาไม่ทำ น้องสาวได้แต่ร้องไห้ คือไม่รู้ว่าจะทำอะไร พี่ชายก็เลยขึ้นมาสั่งน้อง บอกว่า เมื่อเราผิด เรากราบคุณครูเลย ที่ผิดคือเด็กโกหก  พอกราบเสร็จตนก็ให้นักเรียนทุกคนปรบมือ พร้อมพูดว่า นี้คือตัวอย่างของเด็กที่ดี เมื่อเราทำผิด แล้วกล้ายอมรับผิดชอบ ถ้าวันหนึ่งถ้าเธอโตไปเป็นผู้ใหญ่ เธอไปพูดบอกว่า กินต้องนั้นแพ้ กินตรงนี้แพ้ แล้วถ้าเป็นร้านอาหารใหญ่ ๆ เขาฟ้องคุณตายไหม ตนไม่ทราบว่ามีการถ่ายคลิปเอาไว้ แต่เชื่อว่าสิ่งที่ตนทำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ครูสอนนักเรียน อิงด้วยหลักฐานจาก สปฐ.มาให้ดูแลเด็กนักเรียนให้ดีที่สุด



วิเคราะห์ข่าว
            จรรยาบรรณวิชาชีพครู เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ครูทุกคนควรใส่ใจในการนำมาปฏิบัติภายใต้คำว่า “พ่อพิมพ์หรือแม่พิมพ์ของชาติ” ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ จรรยาบรรณต่ออาชีพ จรรยาบรรณต่อตนเอง และจรรยาบรรณต่อนักเรียน ซึ่งทั้ง 3 ด้านนี้ ควรมีอยู่ทั้งในตัวและ       จิตวิญญาณของผู้ที่ได้ชื่อว่า “ครู” อันจะทำให้ครูทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียน และสามารถพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งการประพฤติปฏิบัติของครูเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน ดังจรรยาบรรณต่อนักเรียนที่ว่า “ครูจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี” เพราะครูนั้นมีอิทธิพลต่อศิษย์ทั้งด้านวาจา ความคิด บุคลิกภาพ และความประพฤติ ครูจึงจะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ซึมซับสิ่งที่ทำจากตัวครูไป เมื่อศิษย์เกิดศรัทธาในความสามารถของครู ศิษย์อาจจะเลียนแบบความประพฤติของครูไปอย่างไม่ได้เจตนา เช่น การตรงต่อเวลา การพูดจาชัดเจน การแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา สุภาพเรียบร้อย เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน เราสามารถเห็นข่าวเกี่ยวกับครูและนักเรียนได้บ่อยครั้ง ซึ่งข่าวดังกล่าว ล้วนเป็นข่าวที่แสดงถึงการประพฤติปฏิบัติของครูต่อนักเรียนทั้งสิ้น มีทั้งความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย หรือการพูดจาต่อนักเรียน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าสลดใจในวงการการศึกษา  
หลังจากที่กระผมได้อ่านข่าว ครูยังยันทำสิ่งที่ถูกต้อง เหตุคลิปนร.กราบขอขมาหน้า     เสาธง อ้างแพ้เต้าหู้ไข่ ทำโรงเรียนเสียหาย”  ลำดับแรกกระผมขอนับถือในความตรงไปตรงมาและการหาเหตุผลหรือข้อสรุปต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของคุณครูชื่นกมล จรดรัมย์ ครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ และรับผิดชอบงานฝ่ายปกครอง โรงเรียนบ้านลำหาด ต.ทัพทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จากข่าวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการหาข้อสรุปเพื่อนำมาพิสูจน์สาเหตุที่นักเรียนแพ้อาหารว่า เป็นลักษณะของการแพ้เต้าหู้ไข่จากเมนูอาหารกลางวันที่โรงเรียนได้จัดขึ้นสำหรับนักเรียนจริงหรือไม่ และข้อสรุปก็ชี้ชัดว่า นักเรียนไม่ได้แพ้เต้าหู้ไข่อย่างที่นักเรียนกล่าวหา ซึ่งครูมีความรอบคอบและมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการหาคำตอบของครูตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ครูศึกษามา แต่การให้นักเรียนกราบครูต่อหน้านักเรียนหลายร้อยคนหน้าเสาธงเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณครูไม่คิดหรือคำนึงหรอกหรือว่า เป็นการประจารณ์หรือสร้างความอับอายให้กับนักเรียน หลังจากที่ครูให้นักเรียนกราบแล้วนั้น ครูได้พิจารณาสักนิดไหมว่า นักเรียนจะรู้สึกอย่างไรต่อครูและเพื่อน ๆ ในโรงเรียน และอาจเป็นปมหนึ่งของนักเรียนที่เมื่อเกิดปัญหาอะไรแล้วนักเรียนไม่กล้าบอกหรือขอคำปรึกษาจากครู เพราะเพียงกลัวครูจะดุว่า และสุดท้ายอย่างไรแล้วตนเองก็คือคนผิด กระผมในฐานะนักศึกษาครูคนหนึ่ง มีความคิดเห็นว่า คุณครูควรมีความใจเย็นและคำนึงการประพฤติของตนเองต่อนักเรียนให้มากกว่านี้ แม้ว่านักเรียนจะผิดอย่างไร ครูก็ไม่ควรประจารณ์หรือสร้างความอับอายให้กับนักเรียน ควรยึดหลัก “พรหมวิหาร 4” คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยเฉพาะ กรุณา ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
  - ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
  - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ครูไม่ควรนำนักเรียนมาประจารณ์เพื่อสร้างความอับอายให้กับนักเรียน อันส่งผลให้นักเรียนไม่สบายใจในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ครูจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ว่านักเรียนจะทำสิ่งที่เลวร้ายหรือแย่ที่สุดเพียงใด ครูก็ไม่ควรนำนักเรียนมาประจารณ์ต่อหน้าผู้คน “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ยังคงเป็นสุภาษิตสอนใจที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของครูที่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา โรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของนักเรียน และครูเองก็เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของนักเรียนเช่นกัน ดังนั้น ครูควรใส่ใจต่อความรู้สึกและผลกระทบที่จะตามมาทั้งต่อครูและนักเรียน สังคมแห่งการเรียนรู้จะเป็นอย่างไร หากครูและนักเรียนต่างเกื้อกูลและถ่อยทีถ่อยอาศัยซึ่งกันและกัน 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น